โลหะเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 13 ปี: เป้าหมายต่อไป $50? 

2025-06-13 | ดอลลาร์สหรัฐ , ทองคำ , ราคาโลหะเงิน , โลหะเงิน

ราคาทองคำขยับก่อน แต่ซิลเวอร์ขยับเร็ว 

ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11.1% และตอนนี้กำลังซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี จนกลายเป็นที่จับตามองของตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดสายเก็งกำไร ทุกคนต่างจับตาดูระดับราคาที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงพีคของปี 2554 

สิ่งที่นักเทรดอยากรู้คือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของการเบรกทะลุครั้งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? หรือแค่เป็นอีกหนึ่งรอบที่ราคาจะ ไปไม่สุดแล้วอ่อนตัวลง ที่แนวต้านอีกครั้ง? 

ท่ามกลางกระแสข่าวครึกโครมของ AI และคริปโต ความแข็งแกร่งของซิลเวอร์กำลังบอกสัญญาณบางอย่างที่ลึกกว่านั้น 

ในอดีต ซิลเวอร์เคยเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่า เช่นเดียวกับทองคำ เป็นโลหะที่มีการใช้ในอุตสาหกรรม และยังเป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อซิลเวอร์เคลื่อนไหว มันไม่ได้ขยับเบา ๆ 

หากย้อนไปปี 2554 ราคาซิลเวอร์พุ่งจาก $35 ไปเกือบ $50 ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หรือคิดเป็นการขยับขึ้นกว่า 40% ในไม่ถึงสองเดือน เป็นรอบที่พุ่งแรงและรวดเร็วจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว และความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย 

วันนี้เรากำลังเห็นรูปแบบที่คล้ายกันอีกครั้ง 

  • ผลตอบแทนแท้จริงอยู่ภายใต้แรงกดดัน 
  • ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 
  • หนี้ทั่วโลกพุ่งสูง 
  • นักลงทุนเริ่มหันกลับมาหาสินทรัพย์จริงอีกครั้ง 

และซิลเวอร์ก็กำลังตอบรับต่อสัญญาณนั้น 

กราฟด้านบนกำลังส่งสัญญาณเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่าราคาซิลเวอร์กำลังสร้างรูปแบบ “ถ้วยพร้อมหูจับ” ซึ่งมักเป็นสัญญาณขาขึ้นก่อนการเบรกทะลุครั้งใหญ่ 

รูปแบบนี้คล้ายกับที่ทองคำเคยทำไว้ก่อนจะทะลุระดับ $2,000 

แนวต้านแนวนอนบริเวณ $44–$50 ได้กลายเป็นเพดานราคาของซิลเวอร์มายาวนานกว่าสี่ทศวรรษ โดยเคยเกิดขึ้นในปี 2523, อีกครั้งในปี 2554 และตอนนี้ในปี 2468 ซิลเวอร์กำลังกลับมาทดสอบโซนดังกล่าวอีกครั้ง 

หากสามารถเบรกเหนือ $50 ได้อย่างชัดเจน จะถือเป็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล และอาจเปิดประตูสู่รอบตลาดกระทิงระยะยาวรอบใหม่ 

ระยะสะสมของ “หูจับ” อาจสิ้นสุดไปแล้ว และสิ่งที่จะตามมาอาจรุนแรงและน่าตื่นเต้น 

กราฟด้านบนแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาซิลเวอร์ในช่วงเวลา 10 ปี โดยเน้นไปที่สองรอบตลาดกระทิงใหญ่ ได้แก่ ช่วงปี 1970s C.E. และ 2000s C.E. ซึ่งในแต่ละรอบราคาซิลเวอร์พุ่งแรงจนจากสินค้าที่ถูกลืม กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกครั้ง 

ตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณเบื้องต้นของรอบกระทิงรอบที่สาม 

ผลตอบแทนเฉลี่ยของซิลเวอร์กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง และแรงส่งกำลังเร่งตัว จากมุมมองมหภาค การปรับขึ้นรอบนี้ดูเหมือนจะมีพลังต่อเนื่อง 

ย้อนกลับไปดูตัวอย่างในอดีต: 

ในปี 2554 ราคาซิลเวอร์ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการพุ่งจาก $35 ไปที่ $50 

ด้วยราคาซิลเวอร์ที่ปัจจุบันลอยตัวอยู่แถว $36–$37 การปรับขึ้นระดับนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง โดยเฉพาะถ้าได้ปัจจัยเสริมอย่างค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อน เงินเฟ้อที่พุ่ง หรือแรงสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์ 

ซิลเวอร์ไม่ใช่แค่เหรียญโลหะสวยงามหรือสินค้าตามความต้องการภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่มันสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจโลก และตอนนี้สถานการณ์ก็น่าสนใจไม่น้อย: 

  • ธนาคารกลางกำลังชะงัก: เงินเฟ้อยังไม่ลด แต่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะถูกลดลง ซึ่งมักทำให้ค่าเงินอ่อนตัวและหนุนราคาสินทรัพย์อย่างทองคำและซิลเวอร์ 
  • ค่าเงินดอลลาร์กำลังอ่อน: อย่างที่วิเคราะห์ไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อนในบทความ USD ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้าง ซึ่งในอดีตเคยส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อทองคำและซิลเวอร์ 
  • ดีมานด์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเงิน: ซิลเวอร์มีบทบาทสองด้านในตลาด ซิลเวอร์ถูกใช้ทั้งในแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกันก็ถูกถือครองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวกับทองคำ บทบาทคู่ขนานนี้ทำให้ซิลเวอร์มีความโดดเด่นและแตกต่างจากโลหะมีค่าอื่นๆ 

จากมุมมองเชิงเทคนิค ประวัติศาสตร์ และภาพรวมเศรษฐกิจระดับมหภาค ราคา $50 ได้กลับมาอยู่ในบทสนทนาอีกครั้ง 

แต่อย่าลืมว่า ซิลเวอร์เป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนสูง มีโอกาสเหวี่ยงแรงทั้งขึ้นและลง ไม่ได้พุ่งขึ้นเป็นเส้นตรง และระหว่างทางก็อาจมีการย่อตัวอย่างรุนแรงได้ 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนสำหรับการเบรกทะลุแนวต้านยังคงชัดเจน: 

  • การทดสอบแนวต้านระยะยาวหลายสิบปี 
  • รูปแบบกราฟขาขึ้นในระยะยาว 
  • ผลการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 
  • ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย 
  • มีแบบอย่างจากประวัติศาสตร์ที่เคยพุ่งแรงมาแล้ว 

ระดับราคา $50 ไม่ได้เป็นเพียงแค่เป้าหมายด้านตัวเลขเท่านั้น แต่มันคือ “จุดเปลี่ยนทางจิตวิทยา” ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญที่กินระยะเวลานานหลายสิบปี หากสามารถทะลุผ่านไปได้ อาจทำให้ซิลเวอร์เข้าสู่การปรับฐานราคาใหม่ทั้งระบบ 

  • ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้น 11.1% ในเดือนมิถุนายน ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 13 ปีนับตั้งแต่ปี 2554 
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ถึงรูปแบบกราฟถ้วยและหูจับ ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นระยะยาว 
  • ข้อมูลในอดีตยืนยันว่าซิลเวอร์สามารถเคลื่อนไหวแรงได้ เช่นเดียวกับในปี 2554 
  • ปัจจัยมหภาค เช่น ค่าเงินดอลลาร์อ่อนและการปรับลดดอกเบี้ย ช่วยหนุนแนวโน้มตลาด 
  • หากทะลุแนวต้าน $50 ได้ จะกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และอาจเปิดตลาดกระทิงรอบใหญ่ในระยะยาว 

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสายยาวหรือเทรดเดอร์สายสั้น ตอนนี้ซิลเวอร์ได้กลับมาอยู่ในเรดาร์อีกครั้ง 

จับตาแนวต้านให้ดี ติดตามโมเมนตัมอย่างใกล้ชิด เคลื่อนไหวอย่างคล่องตัว และอย่าลืมบริหารความเสี่ยงของคุณให้ดี 

เพราะหากการเบรกทะลุแนวต้านนี้ “ยืนได้” อย่างมั่นคง นี่อาจเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของตลาดก็เป็นได้ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]

article-thumbnail

2025-12-04 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

วิเคราห์ “ราคาโลหะเงิน” ในรอบ 100 ปี ที่เทรดเดอร์จับตามอง 

ราคาโลหะเงิน หรือ Silver พุ่งระเบิดในปี 2025 โลหะชนิดนี้ได้ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ ในช่วงกลาง 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่าสองเท่าจากเมื่อตอนต้นปี ขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดของปี 2025 แซงหน้าแม้กระทั่งทองคำ  ยอดการค้นหาคำว่า “คาดการณ์ราคาโลหะเงิน”, “แนวโน้มโลหะเงิน ปี 2025”, และ “โลหะเงินจะแตะ $100 หรือไม่?” พุ่งสูงขึ้น รับกระแสการฝ่าวงล้อมที่ตลาดกำลังตื่นตัว การขยับตัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะโลหะเงินได้ระเบิดทะลุกรอบราคาสำคัญที่เคยตรึงแนวโน้มไว้มานานหลายทศวรรษได้สำเร็จ  โลหะเงินได้ทะลุผ่านกรอบราคาระยะยาวที่คงอยู่มานานหลายทศวรรษ ด้วยความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และแพทเทิร์นกราฟ 100 ปีที่หาดูได้ยาก ซึ่งกำลังปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โลหะเงินกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้  แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด: มีความหมายอย่างไรต่อราคาโลหะ  หลังจากผ่านวัฏจักรการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ตอนนี้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเข้าสู่ระยะผ่อนคลายในปีถัดไป การคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ประกอบกับเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ช่วยหนุนความต้องการในโลหะมีค่าโดยรวม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลหะเงิน  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีความสำคัญเพราะ:  โลหะเงินได้ตอบสนองล่วงหน้าไปแล้ว ราคาได้ปรับตัวรับกับแนวคิดที่ว่าผลตอบแทนที่แท้จริง อาจมีแนวโน้มลดลงในปี 2026 แม้ว่าช่วงเวลาที่แน่นอนของการลดดอกเบี้ยจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม   นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันคาดการณ์ราคาเฉลี่ยของ โลหะเงินไว้ที่ช่วงกลาง 50 ถึงกลาง 60 ดอลลาร์สำหรับปี 2026 โดยมีบางสำนักที่มองบวกกว่านั้นและชี้เป้าไปสูงกว่า นักกลยุทธ์บางรายถึงกับโต้แย้งว่า หากแนวโน้มปัจจุบันของอัตราดอกเบี้ย อุปทาน และความต้องการลงทุนยังดำเนินต่อไป โลหะเงินหลักร้อยดอลลาร์ ก็มีความเป็นไปได้ในช่วงปลายทศวรรษ มุมมองเหล่านั้นยังคงเป็นการเก็งกำไรและอยู่ในฝั่งที่มองโลกในแง่ดีที่สุด แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทางมหภาคได้พลิกกลับมาเป็นใจให้กับโลหะทองคำมากแค่ไหน  แพทเทิร์นโลหะเงิน 100 ปี: การฝ่าวงล้อมระยะยาวที่หาได้ยาก  หนึ่งในองค์ประกอบที่น่าสนใจที่สุดคือ แพทเทิร์นกราฟโลหะเงินรอบ 100 ปี   โครงสร้างนี้ดูคล้ายกับรูปหูถ้วยกาแฟ ที่ใช้เวลาเกือบครึ่งศตวรรษในการก่อตัว และอีกครึ่งศตวรรษในการสร้างฐานเพื่อพาราคามาถึงจุดนี้  รูปแบบกราฟระยะยาวไม่ได้ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก และเมื่อมันเกิดขึ้น เทรดเดอร์จะให้ความสนใจ การตั้งลำนี้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาดระยะยาว มากกว่าจะเป็นเพียงการดีดตัวระยะสั้นการฝ่าวงล้อมเหนือจุดสูงสุดเดิมเป็นการยืนยันความสมบูรณ์ของแพทเทิร์น นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์จำนวนมากกำลังกลับมาดูกราฟโลหะเงินระยะยาวและเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอดีตของโลหะมีค่า   นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่าทองคำเคยสร้างโครงสร้างที่คล้ายกันนี้ก่อนที่จะเกิดการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2000 การเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยจุดกระแสความสนใจต่อกราฟระยะยาวของโลหะเงิน  แนวโน้มอุตสาหกรรมโลหะเงิน: ทำไมดีมานด์ถึงโตต่อเนื่อง  ต่างจากทองคำ โลหะเงินมีฐานความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่ลึกซึ้ง  แนวโน้มอุตสาหกรรมของโลหะเงินยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด ภาคส่วนหลักที่ขับเคลื่อนความต้องการ ได้แก่:  ด้วยการขยายตัวของพลังงานสีเขียวทั่วโลก ความต้องการจากภาคพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวก็ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องหลายปี การผลิต EV และการเติบโตของอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยเพิ่มแรงหนุนอีกชั้นหนึ่ง แม้ว่าดีมานด์ภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวในระยะสั้น แต่แนวโน้มการใช้งานในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง  ในขณะเดียวกัน โลหะเงินก็ยังคงมีพฤติกรรมเป็นเหมือนโลหะเพื่อการเงิน นักลงทุนซื้อมันในฐานะทางเลือกที่ถูกกว่าทองคำ เมื่อพวกเขากังวลเรื่องเงินเฟ้อ การเสื่อมค่าของสกุลเงิน หรือความเสี่ยงในระบบการเงิน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง โลหะเงินมีความต้องการทั้งในแบบอุตสาหกรรมและสินทรัพย์ปลอดภัย ธรรมชาติแบบสองด้านนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความผันผวนของราคาโลหะเงินสูงมาก เมื่อกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและความต้องการเสี่ยงลดลงพร้อมกัน โลหะเงินอาจถูกเทขายอย่างหนัก แต่เมื่อทั้งสองปัจจัยฟื้นตัวพร้อมกัน ขาขึ้นก็อาจรุนแรงได้เช่นกัน ดังที่ปี 2025 ได้แสดงให้เห็นแล้ว  โลหะเงินมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับทองคำหรือไม่?  อีกหนึ่งประเด็นที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในงานวิจัยและสื่อต่างๆ คือ อัตราส่วนทองคำต่อเงิน ในอดีต อัตราส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวในวงกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักจะทรงตัวอยู่ใกล้หรือเหนือระดับ 70 ซึ่งหมายความว่าต้องใช้โลหะเงินประมาณ 70 ออนซ์ เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์  นักวิเคราะห์จำนวนมากโต้แย้งว่า เมื่อพิจารณาจาก:  โลหะเงินดูเหมือนจะมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับทองคำที่อัตราส่วนปัจจุบัน แต่นั่นไม่ได้การันตีผลลัพธ์ใดๆ มันหมายความเพียงว่า หากทองคำยังคงแข็งแกร่งและอัตราส่วนขยับเข้าใกล้จุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โลหะเงินจำเป็นต้องปรับตัวขึ้นเร็วกว่าทองคำ  ข้อถกเถียงเรื่องโลหะเงิน $100  ณ ตอนนี้ คำถามที่ว่า “โลหะเงินจะไปถึง $100 หรือไม่?” มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันปรากฏอยู่ในงานวิจัยของธนาคาร บทสัมภาษณ์ และบทวิเคราะห์ราคานับไม่ถ้วน  นี่คือความเป็นจริง:  สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน ประเด็นสำคัญไม่ใช่การยึดติดกับตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งว่าเป็นโชคชะตาที่ต้องเกิด แต่ให้มองว่า ระดับ $100 ทำหน้าที่เป็นจุดอ้างอิงทางจิตวิทยา ที่ส่งสัญญาณว่าเรื่องราวขาขึ้นของโลหะเงินในขณะนี้มีความเข้มข้นเพียงใด  ในมุมมองโครงสร้างตลาด สิ่งที่สำคัญกว่าคือ:  สิ่งเหล่านี้คือตัวแปรที่จะตัดสินว่าการพยากรณ์ราคาโลหะเงินในปัจจุบันจะเป็นแบบอนุรักษ์นิยมหรือมองโลกในแง่ดีเกินไป  พยากรณ์โลหะเงินปี 2025: สัญญาณสำคัญที่ต้องจับตาต่อไป  ปัจจัยกระตุ้นหลายประการจะมีอิทธิพลต่อเฟสถัดไปของแนวโน้มโลหะเงิน:  1. การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของเฟด  การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องเวลาหรือขนาดของการลดดอกเบี้ย สามารถส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้ทันที  2. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ  ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักจะช่วยหนุนโลหะเงินและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ  3. ข้อมูลความต้องการภาคอุตสาหกรรม  พลังงานแสงอาทิตย์ EV อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานสะอาด ยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญที่สุด  4. ระดับอุปทานและสินค้าคงคลัง  ความตึงตัวของสินค้าจริงในศูนย์จัดเก็บสำคัญยังคงเป็นประเด็นต่อเนื่อง  5. อัตราส่วนทองคำต่อเงิน  การลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนจะบ่งชี้ถึงความต้องการโลหะเงินที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกัน  6. อารมณ์ตลาดและกระแสเงินทุนสินทรัพย์ปลอดภัย  ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางมหภาค มักจะเพิ่มความสนใจในโลหะมีค่า  การฝ่าวงล้อมของโลหะเงินในปี 2025 ยืนอยู่บนทางแยกของแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ กราฟราคา 100 ปีแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวในปัจจุบันมีความพิเศษเพียงใด ในขณะที่กราฟความต้องการด้านการผลิตอธิบายว่าทำไมโลหะชนิดนี้ถึงมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนมากกว่าหนึ่งตัว  ไม่ว่าตลาดจะไปถึงระดับหลักร้อยดอลลาร์ตามที่นักกลยุทธ์บางคนพูดถึงหรือไม่ แต่การผสมผสานระหว่างความต้องการด้านการเงินและอุตสาหกรรม หมายความว่าโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในจุดศูนย์กลางของบทสนทนาเกี่ยวกับสินทรัพย์ปลอดภัย, วัสดุพลังงานสีเขียว และการกระจายความเสี่ยงด้วยโลหะมีค่าไปอีกระยะหนึ่ง 

article-thumbnail

2025-11-28 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

มาถึงก่อนกำหนด: หุ้นกลุ่ม AI ลดราคาก่อนใคร 

ตลาดไม่รอให้ถึงวัน Black Friday ในปีนี้ หุ้นกลุ่ม AI เปิดฤดูกาลลดราคาของตัวเองล่วงหน้า และจังหวะครั้งนี้สะท้อนชัดว่า มุมมองนักลงทุน กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน  หลังจากกระแสความร้อนแรงติดต่อกันหลายเดือน ในที่สุดนักเทรดก็เริ่มเบรก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของเฟด ข้อมูลแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง และความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้น ล้วนเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตลาดปรับฐานอย่างรวดเร็ว  สรุปง่ายๆ คือ หุ้นเด่นแห่งปี 2025 เริ่มย่อตัวจริงจัง และรอบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผลประกอบการเลย แต่เกิดจากอารมณ์ของตลาดและแรงกดดันด้านมหภาคเป็นหลัก  เรามาแยกดูให้ชัดว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นการปรับลงครั้งนี้ และทำไมมันจึงสำคัญต่อหุ้นกลุ่ม AI ก่อนเข้าสู่เดือนธันวาคม  อย่างไร ฤดูกาล Black Friday และข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค กดดันหุ้นกลุ่ม AI  ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่าง ใส่ราคา คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยเชิงรุก จากนั้นเรื่องก็เปลี่ยนไปทันที  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายนออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้ตลาดต้องกลับมาคิดใหม่ว่าเฟดพร้อมจะผ่อนนโยบายเร็วแค่ไหน โดยปกติแล้ว แรงงานแข็งแกร่งมักเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้กลับส่งสัญญาณไม่ดีต่อหุ้นเติบโตสูง  หุ้นกลุ่ม AI มักทำผลงานได้ดีในช่วงดอกเบี้ยต่ำ เพราะมูลค่ากำไรในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเริ่มจางลง หุ้นเติบโตก็เสียแรงหนุนสำคัญทันที การเปลี่ยนทิศแบบนี้ปรากฏให้เห็นชัดในภาคเทคโนโลยี เมื่อบรรดานักเทรดเริ่มปิดสถานะที่มองโลกในแง่ดีเกินไป  นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าการย่อตัวครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาพื้นฐานของหุ้นกลุ่ม AI แต่เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนไปช่วงสั้นๆ ซึ่งกดดันกลุ่มหุ้นเติบโตสูงในวงกว้าง  ผลกระทบของการขาดข้อมูลเศรษฐกิจต่อความผันผวนของหุ้นกลุ่ม AI  ตอนนี้เรามีเพียงรายงานการจ้างงานเดือนกันยายนเท่านั้น ข้อมูลเดือนตุลาคมยังไม่ออก ข้อมูลเดือนพฤศจิกายนก็ยังไม่ออก และเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึงในเดือนธันวาคม เมื่อเฟดประกาศการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป  สถานการณ์แบบนี้ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ยากขึ้นมาก  เมื่อไม่มีตัวเลขการจ้างงานล่าสุด ไม่มีสัญญาณเงินเฟ้อ และไม่มีถ้อยแถลงชัดเจนจากเฟด นักเทรดจึงไม่อาจไล่ซื้อหุ้นกลุ่ม AI ที่ราคาพุ่งสูงได้อย่างมั่นใจ ช่วงรอคอยนี้ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้ตลาด และความผันผวนก็สูงขึ้นตามธรรมชาติเมื่อความมั่นใจเริ่มลดลง  กลุ่มหุ้น AI จึงกลายเป็นเหยื่อรายแรกของความลังเลนี้  เหตุใดหุ้นกลุ่ม AI จึงปรับฐาน หลังจากพุ่งแรงมาหลายเดือน  ก่อนเกิดการย่อตัวรอบนี้ หุ้นกลุ่ม AI รายใหญ่หลายตัวพุ่งขึ้นแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนตุลาคม Nvidia, AMD, Broadcom, Microsoft และระบบนิเวศโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั้งหมด ซื้อขายกันที่ระดับมูลค่าที่สูงมาก  นักลงทุนไม่ได้ทิ้งธีม AI พวกเขาเพียงแค่ทำกำไรบางส่วนออกมาเท่านั้น  การรีเซ็ตตัวรอบนี้ไม่ได้ทำให้เทรนด์ AI หายไป มันเพียงดึงราคาให้กลับลงมาอยู่ในระดับที่นักเทรดรู้สึกสบายใจกว่าในช่วงที่ภาพเศรษฐกิจมหภาคยังไม่ชัดเจน  ลองคิดซะว่าตลาดกำลัง ผ่อนลมหายใจ หลังจากกลั้นมาหลายเดือน  หากต้องการอ่านเจาะลึกว่าทำไมหุ้นกลุ่ม AI ถึงเหวี่ยงแรงในแต่ละรอบของกระแสความคาดหวัง คุณสามารถอ่านบทวิเคราะห์ก่อนหน้าของเราได้ที่: เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่?  ผลกระทบของความไม่แน่นอนจากเฟดต่อหุ้นกลุ่ม AI  นี่คือเหตุผลจริงที่อยู่เบื้องหลังความผันผวน ตลาดยังไม่รู้ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นเมื่อใด   ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้นักลงทุนเข้าสู่โหมด ตั้งรับ เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงนานขึ้น หุ้นเติบโตสูงจะสูญเสียแรงส่ง เพราะกำไรในอนาคตถูกคิดลดมูลค่ามากขึ้น  กลุ่มหุ้น AI มักตอบสนองต่อความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยเร็วกว่าแทบทุกกลุ่ม ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นเปลี่ยน หุ้นกลุ่มนี้จึงมักเป็นกลุ่มแรกที่โดนผลกระทบหนักที่สุด  จนกว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นในเดือนธันวาคม ความไม่แน่นอนนี้ยังคงมีผลต่อการกำหนดราคาในตลาด  ชาร์ตสำคัญที่ต้องจับตา: หุ้นผู้นำด้าน AI ยังมีโครงสร้างขาขึ้น  แม้จะมีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา แต่หุ้นกลุ่ม AI ชั้นนำหลายตัวยังคงแสดงโครงสร้างขาขึ้นที่ชัดเจนบนกราฟ การย่อตัวรอบนี้สะท้อนทั้งอารมณ์ตลาดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค มากกว่าจะเป็นสัญญาณว่าระยะยาวเริ่มเสียแนวโน้ม ต่อไปนี้คือสามหุ้นสำคัญที่แสดงภาพนี้ได้อย่างชัดเจน  Nvidia (NVDA)  Nvidia ยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแรง โดยมีแนวรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับฐานรอบล่าสุดเพียงแค่ดันราคาให้เข้าใกล้โซนที่ผู้ซื้อปกป้องไว้เสมอ โครงสร้างภาพรวมยังดูดีและไม่มีสัญญาณว่ากำลังหมดแรงขึ้น  Broadcom (AVGO)  ชาร์ตของ Broadcom แสดงให้เห็นว่าราคายังยืนเหนือโซนรับสำคัญและใกล้ระดับสูงก่อนหน้า การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงหลังยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นในภาพใหญ่ไว้ได้ โมเมนตัมก็ยังแข็งแรง AVGO แสดงโมเมนตัมสม่ำเสมอจากความต้องการด้าน AI networking และการย่อตัวรอบนี้ก็ไม่ละเมิดระดับโครงสร้างใดๆ แนวโน้มยังอยู่ครบและสะท้อนถึงความสนใจของสถาบันที่ยังต่อเนื่อง   Tesla (TSLA)  Tesla มักเคลื่อนไหวผันผวนกว่าหุ้นกลุ่ม AI ตัวอื่น แต่โครงสร้างภาพกว้างยังถือว่าดูดี TSLA ยังคงทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น และรักษาโซนรับสำคัญที่ดึงดูดผู้ซื้อมาโดยตลอดไว้ได้   สามชาร์ตนี้บอกเราชัดเจนอย่างหนึ่ง เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนไป แนวโน้มยังไม่เสีย เพียงแต่อารมณ์ตลาดเริ่มเย็นลงจนกว่าเราจะได้ความชัดเจนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมา และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม  หุ้นกลุ่ม AI ร่วงเพราะปัจจัยมหภาค ไม่ใช่พื้นฐาน  […]