
ตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเป็นนักลงทุนหรือเรียนรู้ทักษะการเทรด เพราะเมื่อ AI เริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน คุณจะต้องมีทักษะในการสร้างรายได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีสุดล้ำอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อการจ้างงาน และมันกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
คำเตือนล่าสุดเกี่ยวกับการตกงานเพราะ AI เริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน
ซีอีโอของ Anthropic กล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์อาจเข้ามาแทนที่งานระดับปฏิบัติการในสายออฟฟิศมากถึงครึ่งหนึ่ง และ อาจทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 10 ถึง 20% ภายในเวลาเพียงง 5 ปี
นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบปกติ แต่มันคือคลื่นเศรษฐกิจที่กำลังสั่นสะเทือนวงการแรงงาน แล้วนักลงทุนควรรับมืออย่างไร?
วิกฤตแรงงานจาก AI ไม่รอใคร
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงสมาร์ทโฟน นวัตกรรมล้วนเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเราอยู่เสมอ แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือ “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลง”
AI ไม่ได้แค่ทำงานแทนมนุษย์ แต่มัน “เรียนรู้” ปรับตัว และขยายขีดความสามารถได้อย่างไม่มีวันเหนื่อยล้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อแรงงานจำนวนมากในตลาด
ดร. เดวิด แดงค์ กล่าวตรงไปตรงมาว่า
“หากภาคเศรษฐกิจทั้งระบบล่มสลาย คุณจะเห็นอัตราว่างงานพุ่งสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงสองเดือน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โลกเคยเผชิญมาก่อน และเราจะไม่มีเวลาพอในการปรับตัว”
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้วในตอนนี้ ได้แก่ งานบริการลูกค้า งานป้อนข้อมูล งานด้านกฎหมาย การวิเคราะห์การเงิน สื่อ และการผลิตคอนเทนต์
ภัยคุกคามจาก AI ไม่ได้อยู่ในเชิงทฤษฎีอีกต่อไป เพราะบริษัทจำนวนมากเริ่มลดจำนวนพนักงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะขาดทุน แต่เพราะ AI ช่วยให้การดำเนินงานของพวกเขาทำได้เร็วขึ้นและประหยัดต้นทุนมากขึ้น
คลื่นการตกงานจาก AI: สัญญาณความจริงที่ไม่อาจมองข้าม
การนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ กำลังนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง การปลดพนักงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในวิธีที่องค์กรใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งมักแลกมาด้วยการลดบทบาทของแรงงานมนุษย์
Microsoft เพิ่งปลดพนักงานไปมากกว่า 6,000 คน รวมถึงวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้จัดการโครงการ เพื่อปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับการมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐานของ AI
LinkedIn ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Microsoft ประกาศปลดพนักงาน 281 คน ในแคลิฟอร์เนีย โดยส่วนใหญ่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน machine learning
Dell Technologies ลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 12,000 ตำแหน่ง จากเดิม 120,000 เหลือ 108,000 คน เพื่อปรับองค์กรเข้าสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI
Workday บริษัทด้านซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคล ปลดพนักงาน 1,750 คน หรือประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด เพื่อเพิ่มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อบริษัทหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้น พวกเขาก็มักจะปรับโครงสร้างองค์กร ลดตำแหน่งบางส่วน ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ในสายงานอื่น
สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้คือทั้งความท้าทายและโอกาส พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวให้ทันกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ถ้าอัตราว่างงานพุ่งขึ้นจะเกิดอะไรขึ้น?
ในอดีต เมื่ออัตราการว่างงานทะลุระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ มักถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อตลาด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะการมีตำแหน่งงานน้อยลงหมายถึง:
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
- การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว
- กำไรของบริษัทลดลง
- และท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย

หาก AI เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการจ้างงานครั้งใหญ่ เราอาจได้เห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และนี่คือประเภทของเหตุการณ์ที่ตลาดจะรีบสะท้อนราคาทันที
ดังนั้น แม้ดัชนีตลาดหุ้นในปัจจุบันจะยังคงพุ่งสูงจากกระแสความหวังเรื่องนวัตกรรม แต่ก็อย่าแปลกใจหากจำนวนผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เขย่าตลาดรอบต่อไป
เฟดจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่?
ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังจับตาดูตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด หากอัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าเฟดมีแนวโน้มจะเข้ามาแทรกแซง
เช่นเดียวกับในปี 2020 มาตรการที่เฟดน่าจะเลือกใช้มีดังนี้:
- การปรับลดอัตราดอกเบี้ย
- การอัดฉีดสภาพคล่องในลักษณะ QE
- มาตรการสนับสนุนทางการคลัง
สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ความย้อนแย้ง: เศรษฐกิจอ่อนแอแต่ตลาดหุ้นกลับฟื้นตัว หรือแม้แต่พุ่งแรงด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นี่คือภาพที่คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ตลาดฟื้นตัวก่อนที่เศรษฐกิจจริงจะฟื้นตาม
ดังนั้น แม้การว่างงานที่เกิดจาก AI จะสร้างความเจ็บปวด แต่ก็เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเช่นกัน
ด้านบวกของ AI: ประสิทธิภาพและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องการจ้างงาน แต่ AI ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก สำหรับบริษัทที่ปรับใช้เทคโนโลยีนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ กำไรขั้นต้นอาจ เพิ่มขึ้น ความเร็วในการดำเนินงานสูงขึ้น และต้นทุนลดลง
สิ่งนี้อาจส่งผลเชิงบวกต่อ:
- หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่
- ผู้ให้บริการคลาวด์
- ผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia และ AMD
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของ AI
- บริษัทซอฟต์แวร์บางแห่งที่คัดเลือกแล้ว
สิ่งสำคัญคือการมองหาบริษัทที่ใช้ AI เพื่อเติบโต ไม่ใช่แค่เพื่อลดต้นทุนเท่านั้น
กลุ่มเสี่ยง vs. กลุ่มที่น่าจับตา

ไม่ใช่เวลาที่จะตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาที่ควรปรับตัว
มุมมองระยะยาว: การปรับตัวของมนุษย์
งานบางประเภทจะหายไป แต่ก็จะมีงานใหม่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น:
- ผู้ฝึกสอน AI
- วิศวกรพัฒนา Prompt
- เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงและจริยธรรมด้าน AI
- ที่ปรึกษาด้านระบบอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม จะมีช่องว่างระหว่างการสูญเสียงานเดิมกับการสร้างงานใหม่ และนั่นคือจุดที่ความเสี่ยงด้านสังคมและเศรษฐกิจสูงที่สุด
รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องหยุดเพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ และเริ่มลงทุนในโครงการฝึกอบรมและการปรับตัวตั้งแต่วันนี้
มุมมองนักลงทุน: คิดให้ไวกว่าเกม
ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ หน้าที่ของคุณคือการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
หากการว่างงานจำนวนมากกลายเป็นประเด็นหลักของทศวรรษหน้า ผู้เล่นในตลาดที่พร้อมที่สุดจะเป็นกลุ่มที่:
- เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเชิงมหภาค
- ตามเงินให้ทัน (ไปยังผู้ชนะจาก AI)
- ป้องกันความผันผวนไว้ล่วงหน้า
- ยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
สรุปคือ: ไม่จำเป็นต้องกลัวการว่างงานจาก AI แค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น
บทสรุปสำคัญ
การว่างงานจาก AI ไม่ใช่ฉากในหนังไซไฟอีกต่อไป แต่มันคือความจริงที่ใกล้เข้ามาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ และพอร์ตของคุณ
แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมแฝงโอกาสไว้เสมอ
ตลาดจะปรับตัว ผู้นำหน้าใหม่จะเกิดขึ้น และนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์จะใช้ช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพื่อแตกตื่น แต่เพื่อวางตำแหน่งให้ตัวเองนำหน้าเกม
ตอนนี้คือเวลาที่ต้องเสริมทักษะ อัปเดตข้อมูล และควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเองไว้ให้ได้
เพราะแม้ว่า AI อาจแย่งงานไปจากคุณ แต่มันแย่งความได้เปรียบของคุณไม่ได้ เว้นแต่คุณจะยอมปล่อยให้มันทำ
การเปิดเผยความเสี่ยง
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง